วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2556

การเลือกตั้งคณะรัฐมนตรี มาเลเซีย
รูปแบบการปกครอง
ประชาธิปไตยในระบบรัฐสภา (Parliamentary Democracy)
เมืองหลวง
กรุงกัวลาลัมเปอร์ (Kuala Lumpur) เมืองราชการคือ เมืองปุตราจายา (Putrajaya)
การแบ่งเขตการปกครอง
มาเลเซียตะวันตก ตั้งอยู่บนคาบสมุทรมลายู ประกอบด้วย11 รัฐ คือ ปะหัง สลังงอร์ เนกรีเซมบิลัน มะละกา ยะโฮร์ เประ กลันตัน ตรังกานู ปีนัง เกดะห์ และปะลิส มาเลเซียตะวันออก ตั้งอยู่บนเกาะบอร์เนียว (กาลิมันตัน) ประกอบด้วย 2 รัฐ คือ ซาบาห์ และซาราวัก นอกจากนี้ยังมีเขตการปกครองภายใต้สหพันธรัฐ อีก 3 เขต คือ กรุงกัวลาลัมเปอร์ (เมืองหลวง) เมืองปุตราจายา (เมืองราชการ) และเกาะลาบวน
แผนที่การแบ่งเขตการปกครอง

รัฐธรรมนูญ  
ฉบับวันที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2500 แต่มีการแก้ไขหลายครั้ง โดยครั้งล่าสุดในปี พ.ศ. 2550
ฝ่ายบริหาร
           มาเลเซียมีระบอบการปกครองแบบสหพันธรัฐ โดยมีสมเด็จพระราชาธิบดี (Yang-diPertuan Agong) เป็นประมุข ซึ่งมาจากการเลือกตั้งจากเจ้าผู้ปกครองรัฐ 9 แห่ง (ยะโฮร์ ตรังกานู ปะหัง สลังงอร์ เกดะห์ กลันตัน เนกรีเซมบิลัน เประ และปะลิส) และผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนกันขึ้นดำรงตำแหน่ง วาระ 5 ปี การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในปี 2011 นายกรัฐมนตรีเป็นหัวหน้ารัฐบาลสหพันธรัฐ และมุขมนตรีแห่งรัฐ (Menteri Besar ในกรณีที่มีเจ้าผู้ปกครองรัฐ หรือ Chief Minister ในกรณีที่ไม่มีเจ้าผู้ปกครองรัฐ) เป็นหัวหน้ารัฐบาลแห่งรัฐ
ฝ่ายนิติบัญญัติ
          ระบบ 2 สภา (Bicameral Parliament หรือ Parlimen) ประกอบด้วยวุฒิสภา (Senate หรือ Dewan Negara) ซึ่งมีสมาชิก 70 ที่นั่ง กษัตริย์เป็นผู้แต่งตั้ง 44 ที่นั่ง อีก 26 ที่นั่งมาจากการเลือกตั้งของตัวแทน 13 รัฐ วาระ 3 ปีและสามารถดำรงตำแหน่งได้เพียง 2 วาระเท่านั้น และ สภาผู้แทนราษฎร (House of Representatives หรือ Dewan Rakyat) สมาชิกจำนวน 222 ที่นั่ง มาจากการเลือกตั้ง วาระการดำรงตำแหน่ง 5 ปี การเลือกตั้งครั้งต่อไปจะมีขึ้นในเดือนมิถุนายน 2013
 ฝ่ายตุลาการ
              ประเทศมาเลเซียบนคาบสมุทรเพนนินซูลา ศาลแพ่งประกอบด้วย ศาลสหพันธรัฐ (Federal Court) ศาลอุทธรณ์ และศาลสูง สำหรับศาลของซาบาห์และซาราวัคบทเกาะบอร์เนียวประกอบด้วยศาลฎีกา ซึ่งผู้พิพากษาได้รับแต่งตั้งโดยพระมหากษัตริย์ โดยคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี
ศาลชาเรีย (Sharia Courts) ประกอบด้วย ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา และศาลระดับรัฐ (Subordinate Courts at State-Level) ตัดสินคดีความเกี่ยวกับศาสนาและครอบครัวสำหรับมุสลิม คำพิพากษาจากศาลชาเรียไม่สามารถนำมาอุทธรณ์ในศาลแพ่งได้


ระบบกฎหมาย
           กฎหมายจารีตประเพณีอังกฤษ (English Common Law) โดยมีการใช้กฎหมายอิสลาม (Islamic Law) ในเรื่องที่เกี่ยวข้องกับชาวมุสลิม (ครอบครัวและศาสนา) ไม่ยอมรับเขตอำนาจโดยบังคับของศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ (ICJ)
การเมือง
       พรรค UMNO มีแนวนโยบายบริหารประเทศเน้นชาตินิยมแต่ไม่รุนแรง สนับสนุนชาวมาเลย์ให้มีสิทธิในการเข้าไปมีส่วนร่วมในการบริหารประเทศทั้ง ด้านการเมืองและเศรษฐกิจ แนวนโยบายในการบริหารและพัฒนาประเทศหลัก ๆ สรุปได้ดังนี้
1.             ดำเนินนโยบายอย่างเป็นอิสระไม่ฝักใฝ่ฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะประเทศตะวันตก
2.             พยายามเข้าไปมีบทบาทนำในอาเซียน และกลุ่มประเทศกำลังพัฒนา โดยเฉพาะกลุ่มประเทศมุสลิม เพื่อเป็นพลังต่อรองกับประเทศตะวันตกในเวทีระหว่างประเทศ
3.             พัฒนาการปกครองตามระบอบประชาธิปไตย โดยไม่ยึดติดกับรูปแบบของประเทศตะวันตกมีแนวดำเนินการของตนเองและให้ความ สำคัญต่อเรื่องความมั่นคงภายในประเทศเป็นสำคัญ
หลังจาก ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด ได้ลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 31ตุลาคม 2546 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีแทนเมื่อวันที่ 1 พฤศจิกายน 2546 ต่อมาเมื่อวันที่ 21 มีนาคม 2547 มาเลเซียจัดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป (หลังการยุบสภาเมื่อวันที่ 4 มีนาคม 2547) ซึ่งผลปรากฏว่า พรรค UMNO และกลุ่มพรรคแนวร่วมแห่งชาติ Barison Nasional (BN) ภายใต้การนำของดาโต๊ะซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้รับชัยชนะเหนือพรรคร่วมฝ่ายค้าน (BA) ซึ่งมีพรรค PAS เป็นแกนนำ โดยได้คะแนนเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรเกิน 2 ใน 3
พรรคฝ่ายค้านยังคงไม่มีศักยภาพเพียง พอที่จะท้าทายอำนาจและเสถียรภาพของรัฐบาล แม้การก้าวลงจากอำนาจของ ดร.มหาธีร์ อาจส่งผลต่อความเชื่อมั่นและคะแนนนิยมของประชาชนต่อพรรค UMNO ในระดับหนึ่ง แต่ผลการเลือกตั้งทั่วไปในเดือนมีนาคม 2547 แสดงให้เห็นว่า พรรค UMNO ยังคงสามารถเป็นแกนนำของกลุ่ม BN ในการจัดตั้งรัฐบาลต่อไป ประเด็นที่จะบั่นทอนเสถียรภาพและความมั่นคงของพรรครัฐบาลและพรรค UMNO ที่สำคัญได้แก่ ความแตกแยกภายในพรรค UMNO เอง ซึ่งยังคงมีอยู่ในระดับหนึ่งอันเป็นผลสืบเนื่องมาจากความไม่ลงรอยกันระหว่าง กลุ่มการเมืองต่าง ๆ ภายในพรรค แม้ว่าจะไม่ปรากฏให้เห็นภาพความขัดแย้งที่แจ้งชัด
เมื่อวันที่ 13-19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2549 พรรค UMNO ได้จัดการประชุมสมัชชาพรรคสมัยสามัญประจำปี 2549 โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียในฐานะหัวหน้าพรรค UMNO ได้รายงานผลงานและความพยายามของรัฐบาลภายใต้การนำของพรรค UMNO ว่า (1) ได้ปฏิบัติตามคำสัญญาที่ให้แก่ประชาชน อาทิ การนำเสนอมาตรการในแผนพัฒนามาเลเซีย ฉบับที่ 9 (2) ให้ความสำคัญกับการพัฒนาทรัพยากรมนุษย์ โดยเฉพาะการส่งเสริมการศึกษา (3) ย้ำความสำคัญของการพัฒนาเศรษฐกิจโดยการสร้างแหล่งการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจ ใหม่ ๆ และการกระจายรายได้อย่างเป็นธรรม (4) ส่งเสริมประสิทธิภาพการทำงานของภาคราชการ (5) รัฐบาลได้เปิดกว้างรับฟังการวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นทั้งจาก ส.ส. และจากประชาชน (6) ใช้แนวทางทางการทูตและหลีกเลี่ยงการเผชิญหน้าในการดำเนินนโยบายต่างประเทศ และย้ำว่าชาวมุสลิมควรปรองดองกัน (7) ส่งเสริมความสมานฉันท์ของคนในชาติ (8) ย้ำหลักการอิสลามสายกลาง หรือ Islam Hadhari
ที่ประชุมพรรค UMNO ยืนยันให้การสนับสนุนหัวหน้าพรรค แต่หลีกเลี่ยงการกล่าวโจมตี ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซียซึ่งเป็นอดีตหัวหน้าพรรค UMNO ที่ในระยะหลังมีความคิดขัดแย้งกับนายกรัฐมนตรีคนปัจจุบัน (ตุน ดร.มหาธีร์ฯ มิได้เข้าร่วมการประชุมครั้งนี้ เพราะอยู่ในช่วงพักรักษาตัวจากโรคหัวใจ) แม้พรรค UMNO จะสนับสนุนคนเชื้อสายมาเลย์ แต่พรรคก็ต้องระมัดระวังในการรักษาความสมดุลระหว่างคนเชื้อชาติอื่น ๆ ในมาเลเซียด้วย เพื่อหลีกเลี่ยงความขัดแย้งระหว่างเชื้อชาติ ในการอภิปรายระหว่างการประชุมครั้งนี้ สมาชิกบางกลุ่มได้กล่าวโจมตีสิทธิของคนเชื้อชาติอื่น ๆ ทำให้นายกรัฐมนตรีมาเลเซียกล่าวในวันปิดประชุมว่าสมาชิกพรรคต้องคำนึงถึง สิทธิของคนเชื้อชาติต่างๆ อย่างเป็นธรรม

การปรับคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2549
          นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ บาดาวี ได้ปรับคณะรัฐมนตรีเป็นครั้งแรกตั้งแต่จัดตั้งรัฐบาล ในการนี้มีรัฐมนตรีว่าการและรัฐมนตรีช่วยว่าการได้รับแต่งตั้งให้ดำรง ตำแหน่งใหม่รวม 22 ตำแหน่ง (รัฐมนตรีว่าการ 7 ตำแหน่ง รัฐมนตรีช่วยว่าการ 15 ตำแหน่ง) โดยนายกรัฐมนตรีมาเลเซียยืนยันว่าการแต่งตั้งและปรับเปลี่ยนบุคคลเข้าดำรง ตำแหน่งต่าง ๆ ได้พิจารณาจากความรู้ความสามารถ ประสบการณ์และความรับผิดชอบ และที่สำคัญต้องทำงานเป็นทีมได้ ส่วนบุคคลที่หลายฝ่ายให้ความสนใจเป็นพิเศษ คือ ดาโต๊ะ ซรี ราฟิดาห์ อาซิซ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการค้าระหว่างประเทศและอุตสาหกรรมซึ่งอยู่ในคณะ รัฐมนตรีมานานกว่า 24 ปี ก็ยังดำรงตำแหน่งเดิมอยู่ แม้ก่อนหน้านี้จะถูกวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับความไม่โปร่งใสในการออกใบอนุญาต นำเข้ารถยนต์จากต่างประเทศจนเกิดความขัดแย้งกับ ตุน ดร.มหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ในการนี้ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ให้เหตุผลว่ารัฐบาลมาเลเซียจำเป็นต้องพึ่งพาผู้มีประสบการณ์และ ความเชี่ยวชาญและเป็นที่ยอมรับของประชาคมธุรกิจระหว่างประเทศอย่างดาโต๊ะ ซรี ราฟิดาห์ อย่างไรก็ตาม การปรับคณะรัฐมนตรีครั้งนี้ไม่ส่งผลกระทบต่อนโยบายหลักของรัฐบาลมาเลเซีย รวมทั้งจะไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ระหว่างมาเลเซียและไทย
นโยบายความมั่นคงของมาเลเซีย
1.             ดำเนินยุทธศาสตร์ทางการเมืองโดยยึด อาเซียนเป็นหลักในการดำเนินความสัมพันธ์กับประเทศมหาอำนาจ เพื่อให้มีการรับรองและปฏิบัติอย่างจริงจังที่จะให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออก /ตะวันตก เป็นดินแดนที่เป็นกลางและสันติสุข ทั้งนี้เพื่อให้มาเลเซียปลอดภัยจากการรุกรานจากภายนอก
2.             แสวงหามิตรประเทศที่มีศักยภาพทาง ทหารอย่างเพียงพอที่จะป้องปรามการกระทำใด ๆ อันจะกระทบต่อความมั่นคงปลอดภัยของมาเลเซียตลอดจนการเตรียมกองทัพให้ทันสมัย มีอานุภาพ
เพียงพอที่จะป้องกันประเทศในระยะต้นก่อนการช่วยเหลือจากมิตรประเทศ
3.             พัฒนากองทัพ โดยเฉพาะกองกำลังภาคพื้นดินให้เข้มแข็ง เน้นขีดความสามารถในการทำสงครามตามแบบ (conventional) เพื่อป้องกันการรุกรานจากศัตรูภายนอก
4.             ปรับปรุงกองกำลังทางเรือให้สามารถ ป้องกันการแทรกซึม และการยกพลขึ้นบก ตลอดจนปราบปรามการลักลอบค้าของหนีภาษี และการลักลอบทำประมงในน่านน้ำ
ในอนาคตอันใกล้ ยังไม่มีสิ่งบอกเหตุว่ามาเลเซียจะมีความขัดแย้งกับต่างประเทศจนถึงกับต้อง ใช้กำลังทหารในการเผชิญหน้า เนื่องจากมาเลเซียย้ำเสมอว่าต้องการใช้กรอบเจรจาทางการทูตมากกว่าการใช้ กำลังพล แต่อาจจะมีปัญหาที่เกี่ยวข้องกับต่างประเทศ อาทิ อาชญากรรมข้ามชาติ การลักลอบเข้าเมือง การลักลอบค้าแรงงานผิดกฎหมาย ซึ่งมาเลเซียพยายามจะใช้การเจรจาทวิภาคีเพื่อแก้ไขปัญหาดังกล่าว
ผลการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12

นายกรัฐมนตรี ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้ประกาศยุบสภาสมัยที่ 11 เมื่อวันที่ 13 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 เพื่อให้มีการเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ซึ่งถือเป็นการประกาศยุบสภาก่อนที่จะหมดวาระตามปกติถึง 25 เดือน (หมดวาระในวันที่ 16 พฤษภาคม 2552)

การเลือกตั้งทั่วไปครั้งที่ 12 ของมาเลเซียมีขึ้นเมื่อวันที่ 8 มีนาคม 2551 โดยเป็นการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 222 ที่นั่ง และสมาชิกสภานิติบัญญัติใน 12 รัฐ จำนวน 505 คน โดยพรรคร่วมรัฐบาล Barisan National (BN) หรือพรรคแนวร่วมแห่งชาติ ซึ่งนำโดยพรรค UMNO ได้รับเลือก 140 ที่นั่ง ซึ่งน้อยกว่าที่เคยได้รับเลือกในปี 2547 อย่างไรก็ดี ยังคงมีสิทธิจัดตั้งรัฐบาล

เมื่อวันที่ 18 มีนาคม 2551 ได้มีการประกาศรายชื่อคณะรัฐมนตรีใหม่ ซึ่งดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ยังคงดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง โดย ครม. ชุดใหม่นี้ประกอบด้วยรัฐมนตรีว่าการ 32 คน และรัฐมนตรีช่วยว่าการ 37 คน รวม 69 คน และมีดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ตุน ราซัค ดำรงตำแหน่งรองนายกรัฐมนตรีและรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และมีดาโต๊ะ ซรี ดร. อูตามา ราอิส ยาติม ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

เมื่อวันที่ 26 มีนาคม 2552 ดาโต๊ะ ซรี อับดุลลาห์ อาหมัด บาดาวี ได้ประกาศส่งมอบตำแหน่งประธานพรรค UMNO ให้แก่ ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค และได้ส่งมอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการเมื่อวันที่ 3 เมษายน 2552
ปัจจุบัน ดาโต๊ะ ซรี นาจิบ ราซัค ดำรงตำแหน่งเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 6 ของมาเลเซีย โดยมี ดาโต๊ะ ซรี ดร.อาหมัด ซาฮิด ฮามิดิ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม และ ดาโต๊ะ อานิฟาห์ บิน ฮัจญี อามาน เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ

นโยบายต่างประเทศ

เดิมนโยบายต่างประเทศของมาเลเซียมีเป้าหมายหลักอยู่ที่การปกป้องและส่งเสริม ผลประโยชน์แห่งชาติด้านความมั่นคง เศรษฐกิจ และผลประโยชน์ที่สำคัญอื่น ๆ แต่เมื่อดาโต๊ะ ซรี ดร.มหาธีร์ บิน โมฮัมหมัด ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเมื่อปี 2524 นโยบายต่างประเทศมาเลเซียได้เน้นความสำคัญด้านเศรษฐกิจเพิ่มมากขึ้น ทั้งยังส่งเสริมความเป็นชาตินิยมอย่างเข้มแข็ง (strong and nationalistic defense) เพื่อรักษาผลประโยชน์ รวมทั้งสนับสนุนความร่วมมือระหว่างประเทศกำลังพัฒนาด้วยกัน (south-south cooperation) มาเลเซียเห็นว่าปัจจัยสำคัญที่อาจบั่นทอนเสถียรภาพของเศรษฐกิจโลกคือราคา น้ำมันที่สูงขึ้นซึ่งเป็นการเพิ่มภาระแก่ประเทศกำลังพัฒนา และอาจเป็นเหตุให้เกิดการแข่งขันและความขัดแย้งในการแย่งชิงตลาดและทรัพยากร ธรรมชาติ ซึ่งมาเลเซียเห็นว่าสหประชาชาติต้องเตรียมรับมือกับประเด็นดังกล่าวที่อาจ ก่อให้เกิดความขัดแย้งระหว่างประเทศได้ในอนาคต

มาเลเซียเห็นว่าหลักการ Islam Hadhari หรืออิสลามสายกลางจะช่วยส่งเสริมเสถียรภาพระหว่างประเทศ เพราะหลักการดังกล่าวเน้นการสร้างความก้าวหน้าและการพัฒนาโดยส่งเสริมการ ศึกษา การแสวงหาความรู้ และการใช้หลักธรรมาภิบาล ตลอดจนการอยู่ร่วมกันอย่างสันติในสังคมที่มีผู้คนหลายเชื้อชาติและศาสนา นายกรัฐมนตรีมาเลเซียได้กล่าวในหลายวาระโอกาสว่ามาเลเซียเป็นพหุสังคมที่ ประชาชนอยู่ร่วมกันได้อย่างสันติเพราะเข้าใจคุณค่าของความแตกต่างซึ่งเป็น จุดแข็งข้อหนึ่งของการพัฒนาประเทศ ซึ่งประชาคมโลกน่าจะทำความเข้าใจในลักษณะเดียวกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อป้องกันมิให้ช่องว่างระหว่างโลกมุสลิมและโลกตะวันตก ขยายตัวขึ้น

ในช่วงที่ผ่านมากล่าวได้ว่ามาเลเซียประสบความสำเร็จในเวทีระหว่างประเทศ อย่างสูง โดยสามารถสร้างบทบาทให้เป็นที่ยอมรับในฐานะผู้นำประเทศกำลังพัฒนาและเป็น ประเทศมุสลิมสายกลางซึ่งมีแนวนโยบายสอดคล้องกับประเทศตะวันตกในเรื่องของการ ต่อต้านการก่อการร้าย ทำให้มาเลเซียสามารถมีบทบาทนำในเวทีการเมืองระหว่างประเทศได้ทั้งในกรอบของ โลกมุสลิมและโลกตะวันตก